วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ชนิดของช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตมี 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) และช็อกโกแลตรสนม (MilkChocolate)
ช็อกโกแลตแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งมีความแตกต่างกันที่ส่วนผสม


1. Sweet Chocolate (ช็อกโกแลตชนิดหวาน) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไป มากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย


2. Liquor Chocolate เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ เจ้าน้ำช็อกโกแลตนี้สามารถ ทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของ โกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53%

Liquid Chocolate เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลาย จึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน


3. dark chocolate หรือช็อกโกแลตดำ มีทั้งชนิด sweet chocolate semi-sweet bitter sweet หรือ unsweetened มีส่วนประกอบของเนื้อโกโก้ เนยโกโก้ ส่วนนมผงมีเล็กน้อยหรือไม่มีเลย sweet dark chocolate เหมือนกัน semisweet chocolate ใช้แทนกันได้ในการทำขนม มีเนื้อโกโก้ 35 – 45 % bittersweet chocolate เป็น dark chocolate ที่จะต้องมีเนื้อโกโก้อย่างน้อย 35 % ขึ้นไป ช็อกโกแลต ชนิดนี้ถ้ามีคุณภาพดี ควรจะมีเนื้อโกโก้ 50 – 85 % ถ้ามีเนื้อโกโก้มากจะมีน้ำตาลน้อย หากเป็นชนิดยุโรป bittersweet chocolate มักจะมีเนื้อโกโก้มาก และมีรสขมมาก unsweettened chocolate บางทีเรียก baking chocolate หรือ plain chocolate ส่วนมากใช้ทำ ขนม กลิ่นรส ไม่เหมาะสำหรับนำมารับประทาน มีเนื้อโกโก้ประมาณ 75 % ที่เหลือเป็นเนยโกโก้


4. white chocolate ประกอบด้วยเนยโกโก้ น้ำตาล และนมผง ไม่มีเนื้อโกโก้ แต่อาจเติมวานิลาหรือสารแต่งกลิ่นบางประเทศไม่เรียกช็อกโกแลต เพราะไม่มีส่วนของเนื้อโกโก้ มีกลิ่นของโกโก้น้อย

White Chocolate ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter


5. milk chocolate จัดเป็น sweet chocolate ประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ เนยโกโก้ น้ำตาล นมผง ส่วนมากจะมีส่วนผสมของนมผงมากกว่าโกโก้ลิเคอร์ มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้ 10 – 20 % และนมผง 12 %

Milk Chocolate (ช็อกโกแลตนม) ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่ม ความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%


6. semisweet chocolate ประกอบด้วยโกโก้ลิเคอร์ เนยโกโก้ และน้ำตาลเล็กน้อย ใช้ทำขนมเค้ก คุกกี้ บราวนี ใช้แทนช็อกโกแลตดำได้ มีส่วนผสมของเนื้อโกโก้ (cocoa solid) ประมาณ 40 – 62 %

Semi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อกโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ35%และมีไขมัน ประมาณ 27%


7. Couverture ช็อกโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว คือ เป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้าน ที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่ Ganache ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อกโกแลต และใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อกโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น


8. Confectionery Coating (เคลือบลูกกวาด) เป็นช็อกโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้



ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง นอกจากจะให้พลังงาน จากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค และธาตุเหล็ก ค่อนข้างสูงแต่ยังไง การรับประทานช็อกโกแลต ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

อ้างอิงจากhttp://www.science.cmru.ac.th/biology/knowledge/know21.pdf

ต้นกำเนิดช็อกโกแลต

ประมาณ 3000 ปีมาแล้วที่คนพื้นเมืองของเผ่ามายา (Maya) ในอเมริกากลาง เป็นคนกลุ่มแรกที่นำเอาเมล็ดกาเกา (cacao bean) หรือเมล็ดโกโก้ มาทำเป็นเครื่องดื่มข้นๆ โดยนำเมล็ดมาคั่วแล้วนำมาบด ละลายน้ำ ผสมกับแป้งข้าวโพดแต่งกลิ่นรสด้วย วานิลา พริก และสมุนไพรอื่นๆ ต่อมาเมล็ดโกโก้จึงแพร่ไปยังเม็กซิโก ชนเผ่าแอซแทค (Aztecs) ของเม็กซิโกก็นิยมดื่มเครื่องดื่มที่ทำมาจากเมล็ดโกโก้ เดิมเรียกว่า "คาคาฮอดทัล" ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผลิตจากเมล็ดโกโก้ รสค่อนข้างขม แต่เมื่อเติมน้ำตาลแล้วรสชาติจะดี จึงมีการเรียกชื่อใหม่ว่า " ช็อกโกลาตส์ ( xocolatl ) " ซึ่งแปลว่าน้ำที่มีรสขม


ปี ค.ศ. 1502 Christopher Columbus เป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้เห็นต้นโกโก้ ปี ค.ศ. 1519 Hernando Cortez (เฮอร์นันโด คอร์เทส) นักสำรวจชาวสเปนที่เข้าไปถึงในกลางแม็กซิโกเพื่อล่าอาณานิคม เล่ากันว่าจักรพรรดิ Montezuma II ( มอนแตสซูม่า ) และชาว Aztecs ( แอซแทค ) คิดว่า คอร์เทส เป็นพระเจ้าจากทะเล จึงต้อนรับด้วยเครื่องดื่มคาคาฮอดทัลหรือช็อกโกลาตส์นี้แก่เขา หลังจากที่ได้ชิมเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดโกโก้ ที่ มอนแตสซูม่า ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของแอซแทคชอบดื่มเป็นประจำ คอร์เทส ได้จดจำวิธีการที่นำเอาเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่มของชาวแอซเทค เมื่อเขากลับไปยังสเปนได้นำเอาเมล็ดโกโก้ไปปลูกด้วย ต่อมาคนสเปน ได้นำเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่ม เติมน้ำตาล วานิลลา และอบเชยลงไปทำให้มีกลิ่นและรสดี เรียกว่า ช็อกโกลาตส์ ต่อมาเครื่องดื่มรสประหลาดก็ได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศอื่นๆในยุโรป และเมื่อไปถึงอังกฤษชื่อของช็อกโกลาตส์ก็เพี้ยนไปเป็น ช็อกโกแลต ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


ในปี ค.ศ. 1765 เป็นต้นมา เกิดโรงงานผลิตช็อกโกแลตจากเมล็ดโกโก้ขึ้นหลายแห่ง ทั้งในยุโรปและอเมริกา มีการผลิตนมช็อกโกแลต ช็อกโกแลตแท่ง ช็อกโกแลตเคลือบ ตลอดจนการประดิดประดอยช็อกโกแลตรูปต่างๆ ประเทศเดนมาร์กถือว่าแซนด์วิชช็อกโกแลตเป็นอาหารว่าง นอกจากนั้นยังมีผู้ผลิตบุหรี่รสช็อกโกแลตแล้วด้วย


ปี ค.ศ. 1828 Conrad Van Houten นักเคมีชาวเนเทอร์แลนด์ พบวิธีสกัดน้ำมันหรือเนยโกโก้ (cacao butter) จากเมล็ดโกโก้ ปี ค.ศ. 1847 Fry & sons ชาวอังกฤษ ได้ผสมน้ำตาล ผงโกโก้และเนยโกโก้เข้าด้วยกัน


ปี 1876 Danial Peter ชาวสวิส ได้พัฒนาทำช็อกโกแลตนม
( milk chocolate ) โดยผสมนมลงไปในช็อกโกแลตเพื่อให้รสดีขึ้น ต่อมามีการปรุงแต่ง กลิ่น รส มากมาย เพื่อให้ถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้มีช็อกโกแลต หลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน


อ้างอิงจาก http://www.science.cmru.ac.th/biology/knowledge/know21.pdf
http://www.dek-d.com/myBoard/view.php?id=637621

ประโยชน์อื่นๆ ของช็อกโกแลต

ช่วยปรับอารมณ์ และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติค่ะ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้น ช็อกโกแลตจึงถือได้ว่า เป็นขนมหวานอันดับหนึ่ง สำหรับผู้หญิงเลยทีเดียว


ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือน อย่างได้ผล

ช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ hangover ได้ด้วย จะได้เลิกเมาค้าง ข้ามวันข้ามคืน


ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะได้พิสูจน์พบแล้วว่า สารที่พบในช็อกโกแลต เป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง ช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยให้ กระฉับกระเฉงอีกด้วย ในมิลค์ ช็อกโกแลต อัตราส่วน 1.4 ออนซ์ จะประกอบด้วย โปรตีน 3 กรัม แคลเซียม 5% และธาตุเหล็กถึง 15% โดยเฉพาะช็อกโกแลต ที่ใส่ถั่ว หรืออัลมอนด์ จะมีสารอาหารพวกนี้มากขึ้นตามไปด้วย ช็อกโกแลตเนี่ย อุดมไปด้วยไขมัน และโกโก้ ซึ่งถ้าร่างกายได้รับมากเกินไป จะสามารถเพิ่มปริมาณคอเรสเตอรอลได้ ปัจจุบันมีคนจำนวนมากติดช็อกโกแลต เช่นเดียวกับสารเสพติดอื่นๆ และบอกว่าช็อกโกแลตเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งมีความสุข สำหรับคนที่มีอาการซึมเศร้าก็จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เดิมเชื่อว่าการรับประทานช็อกโกแลตไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว ฟันผุ รับประทานมากๆ ทำให้อ้วนและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่จากรายงานการวิจัยที่มีออกมาเรื่อยๆ ก็จัดเป็นข่าวดี สำหรับผู้นิยมบริโภคช็อกโกแลต โดยเฉพาะช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) ว่าช็อกโกแลตไม่ได้ทำให้เกิดสิว และน้ำตาลในช็อกโกแลตก็ไม่ได้ผิดแปลกไปจากน้ำตาลในอาหารอื่นๆ นอกจากนี้ไขมันของช็อกโกแลตหรือเนยโกโก้ (cacao butter) จะไปช่วยเคลือบฟันป้องการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์และในช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสสระ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย

อ้างอิงจากช่วยปรับอารมณ์ และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติค่ะ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้น ช็อกโกแลตจึงถือได้ว่า เป็นขนมหวานอันดับหนึ่ง สำหรับผู้หญิงเลยทีเดียว


ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือน อย่างได้ผล

ช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ hangover ได้ด้วย จะได้เลิกเมาค้าง ข้ามวันข้ามคืน


ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะได้พิสูจน์พบแล้วว่า สารที่พบในช็อกโกแลต เป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง ช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยให้ กระฉับกระเฉงอีกด้วย ในมิลค์ ช็อกโกแลต อัตราส่วน 1.4 ออนซ์ จะประกอบด้วย โปรตีน 3 กรัม แคลเซียม 5% และธาตุเหล็กถึง 15% โดยเฉพาะช็อกโกแลต ที่ใส่ถั่ว หรืออัลมอนด์ จะมีสารอาหารพวกนี้มากขึ้นตามไปด้วย ช็อกโกแลตเนี่ย อุดมไปด้วยไขมัน และโกโก้ ซึ่งถ้าร่างกายได้รับมากเกินไป จะสามารถเพิ่มปริมาณคอเรสเตอรอลได้ ปัจจุบันมีคนจำนวนมากติดช็อกโกแลต เช่นเดียวกับสารเสพติดอื่นๆ และบอกว่าช็อกโกแลตเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งมีความสุข สำหรับคนที่มีอาการซึมเศร้าก็จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น เดิมเชื่อว่าการรับประทานช็อกโกแลตไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว ฟันผุ รับประทานมากๆ ทำให้อ้วนและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่จากรายงานการวิจัยที่มีออกมาเรื่อยๆ ก็จัดเป็นข่าวดี สำหรับผู้นิยมบริโภคช็อกโกแลต โดยเฉพาะช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) ว่าช็อกโกแลตไม่ได้ทำให้เกิดสิว และน้ำตาลในช็อกโกแลตก็ไม่ได้ผิดแปลกไปจากน้ำตาลในอาหารอื่นๆ นอกจากนี้ไขมันของช็อกโกแลตหรือเนยโกโก้ (cacao butter) จะไปช่วยเคลือบฟันป้องการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์และในช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสสระ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย

อ้างอิงจาก [B]e {M}y [C]hOcol@t3

ช็อกโกแลตใส่นม คิดอ่านว่องไว

นักวิจัยศึกษาพบว่าช็อกโกแลตใส่นม เป็นยากระตุ้นสมองช่วยให้สมองคิดอ่านว่องไว เปรื่องปราดขึ้น ดร.ไรอัน รอเดนบุ แห่งมหาวิทยาลัย
วีลิง เจสุต ของสหรัฐอเมริกากับคณะ ได้พบว่าช็อกโกแลตมีสรรพคุณเป็นยากระตุ้น เพราะมันมีสารอย่าง ธีโอโปรมีน ฟีเนทีลามีนและคาเฟอีน สารเหล่านี้โดยตัวมันเอง เคยพบมาก่อนแล้วว่า ช่วยให้เกิดความตื่นตัวและสมาธิดี “และคราวนี้ได้พบว่า เมื่อเรากินช็อกโกแลต เราก็จะถูกกระตุ้น อันนำไปสู่การทำให้สมองทำงานดีขึ้น”


ดร.ไรอันได้ศึกษาด้วยการให้อาสาสมัครกินช็อกโกแลตแบบต่างๆ เช่น ช็อกโกแลตใส่นม ช็อกโกแลตเปล่าๆ แล้วให้ลองทำแบบทดสอบทางจิตประสาทโดยคอมพิวเตอร์ วัดขีดสติปัญญา นับแต่ด้านความจำ ช่วงความยาวของสมาธิ และการแก้ปัญหา


ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่กินช็อกโกแลตใส่นมจะทำคะแนนได้เหนือกว่ากลุ่ม ที่กินช็อกโกแลตแบบอื่น เคยมีการศึกษาเมื่อก่อนแสดงว่า สารอาหารบางอย่างในอาหาร ช่วยในการขับกลูโคสและเลือดลมเดินดี ซึ่งอาจจะช่วยส่งเสริมสติปัญญา.


ช็อกโกแลตอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ทางการแพทย์เชื่อกันว่า ทานช็อกโกแลตเดือนละ 3 ชิ้น จะช่วยให้อายุยืนขึ้นถึง 1 ปี เพราะมีฤทธิ์สำคัญในการช่วยลดคอเลสเทอรอล

อ้างอิงจาก [B]e {M}y [C]hOcol@t3 email

ช็อกโกแลต...ที่แพงที่สุดในโลก...

ช็อกโกแลต...ขนมหวานของขบเคี้ยว ซึ่งเด็กและผู้ใหญ่ชื่นชอบ ปกติไม่ค่อยแพงนัก แต่บัดนี้มีพ่อค้าหัวใสผลิตช็อกโกแลตราคาแพงที่สุดบนผืนปฐพี...

วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังระดับโลก "แฮร์รอดส์" กลางมหานครลอนดอน ใครใคร่ซื้อจะต้องควักกระเป๋าจ่ายไม่มากมายหรอก (สำหรับเศรษฐี) แค่หีบละ 5,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 325,000 บาทไทย)

แต่ละกล่องบรรจุช็อกโกแลตจำนวน 49 ก้อน เขาบรรจงรังสรรค์เพื่อผู้ซื้อรายบุคคล แบบว่าเป็นส่วนตั๊วส่วนตัว แต่ละก้อนห่อด้วยแผ่นหนังฟอกละเอียดเนียนและถุงผ้าไหมถักทอด้วยมือ

ส่วนประกอบหลักอันประกอบเป็นช็อกโกแลต คือโกโก้ชีวภาพปราศจากสารเคมีเจือปน ทุกก้อนใช้แผ่นทองคำเปลวแท้ๆ แก้วคริสตัลสวารอฟสกี้ ดอกไม้หรือกุหลาบไหม (ซิลค์ โรส) ตกแต่งอย่างงดงามสวยหรูเริดไร้ที่ติ

"ผู้ประดิษฐ์ผลงานชื่อ แพตชี่ นักผลิตช็อกโกแลตฝีมือชั้นเซียนชาวเลบานอน เราจัดทำเพื่อสนองตอบลูกค้าที่อยากเสริมประสบการณ์ความทรงจำ" โฆษกห้างแฮร์รอดส์ ชี้แจง แต่ไม่ยักบอกว่ามีคน "บ้าเห่อ" ตกเป็นเหยื่อซื้อไปแล้วกี่หีบ?

'ช็อกโกแลต' เพื่อสุขภาพและความงาม

ช็อกโกแลตเป็นขนมสุดโปรดของทุกเพศทุกวัยหลายคนส่ายหัวกลัวอ้วนแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบชิมเล็กน้อยว่าแล้วมาดูประโยชน์และโทษกันดีกว่าว่าถึงข้อดีก่อนการวิจัยหลายสำนักบอกว่าสารฟลาโวนอยด์สที่มีอยู่ในช็อกโกแลตช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งบางชนิดและป้องกันไม่ให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจนอกจากนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดป้องกันความดันโลหิตสูงและยังช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้อีกด้วยส่วนสารทีโอโบรไมน์ (Theobromine) มีฤทธิ์คล้ายกาเฟอีนช่วยหยุดอาการไอเรื้อรังได้
ส่วนสารเฟนิลไทลามิน (Phenylethylamine) เชื่อว่าสามารถผลิตความรู้สึกที่เรียกว่า“รัก”ได้ นอกจากผลทางสุขภาพผู้คนก็นิยมนำมาพอกตัวทำสปาเพื่อผิวพรรณความงามภายนอกผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะได้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสเพราะช็อกโกแลตมีวิตามินเอและอีที่จะเป็นตัวช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวกายช่วยชะลอความแก่เหี่ยวย่นนอกจากนี้แมกนีเซียมในช็อกโกแลตยังช่วยคลายกล้ามเนื้อผ่อนคลายความตึงเครียดจากอาการเหนื่อยล้าได้เช่นกัน แต่ของทุกอย่างมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียอย่างสารเฟนิลไทลามินทีโอโบรไมน์และกาเฟอีนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูงได้นอกจากนี้ช็อกโกแลตยังให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตไขมันวิตามินเอดีเคและธาตุเหล็กค่อนข้างสูงหากกินมากเกินไปอาจส่งปัญหาด้านสุขภาพทำให้เป็นโรคต่างๆได้เช่นโรคอ้วนความดันโลหิตสูงเป็นต้นว่าแล้วก็เข้าตำราเดินทางสายกลางจะดีกว่านะ


อ้างอิงจาก hunsa.com